ลูกโดนแกล้ง หรือการแกล้งกันของเด็กๆ อาจดูเป็นเรื่องเล็กของผู้ใหญ่ พ่อแม่บางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องที่เด็กๆ ล้อเล่นกันสนุกๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ความจริงแล้ว การรังแกกัน การแกล้งกัน เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กที่ถูกรังแก และเขากำลังต้องการการช่วยเหลือจากพ่อแม่ ให้เข้ามาจัดการได้อย่างทันท่วงที และช่วยหยุดปัญหาลูกโดนแกล้งอย่างถาวร
ลูกโดนแกล้ง มีสัญญาณเตือนแบบไหนที่พ่อแม่ต้องสังเกต
การโดนแกล้ง เด็กแกล้งกันเล่น ก็เป็นพฤติกรรมหนึ่งในการอยู่รวมกลุ่มกันของมนุษย์ เด็กต้องเผชิญสถานการณ์และเรียนรู้การปรับตัว การจัดการปัญหาในการอยู่ร่วมกัน เพื่อที่จะเติบโตอย่างเข้มแข็งต่อไปในอนาคต แต่หากว่าการแกล้งนั้นมิได้กระทำไปเพียงชั่วครั้งชั่วคราว หรือทำให้ลูกโดนแกล้งทุกข์ทรมานใจ การแกล้งกันนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นปัญหา เป็นการโดนรังแก
การรังแก แกล้งกันนั้นมีหลายรูปแบบ เช่น การชกต่อย ทำร้ายร่างกาย (การรังแกทางกาย) การแซวหรือล้อเลียน (การรังแกทางวาจา) การข่มขู่หรือบังคับ หรือการกีดกันไม่ให้เข้าร่วมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ กับเพื่อน (การรังแกทางจิตใจ) และการส่งข้อความข่มขู่ หรือล้อเลียนทางโทรศัพท์หรือทางคอมพิวเตอร์โดยใช้อีเมล์ (การรังแกทางอินเตอร์เน็ต) เป็นต้น ซึ่งโดยหลักแล้วการแกล้งกันจะเป็นปัญหาที่ผู้ใหญ่ควรหันมาสนใจดูแลก็ต่อเมื่อ การรังแก การแกล้งนั้นถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน บางครั้งอาจติดต่อกันนานถึงสองสามปี ทำให้ผู้ถูกรังแกทุกข์ใจ และทรมาน
11 สัญญาณเตือนภัยว่าลูกโดนแกล้ง ที่พ่อแม่ควรทราบและหมั่นสังเกตลูก มีดังต่อไปนี้
- สังเกตข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าของลูกว่ามีร่องรอย หรือสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ เช่น ลูกกลับมาจากโรงเรียนโดยเสื้อผ้า สมุดหนังสือหรือข้าวของฉีกขาด ชำรุด หรือสูญหายเป็นบางส่วน และพบเจอบ่อยครั้งผิดปกติ
- หมั่นตรวจดูร่างกายของลูก โดยเฉพาะเด็กเล็ก สังเกตว่าร่างกายมีรอยบาดแผล ฟกช้ำ หรือถลอกที่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน และเมื่อถามลูกแล้ว เขาไม่สามารถตอบได้ หรือตอบแบบหลบตา ไม่เต็มเสียง
- คอยหมั่นตั้งคำถามกับลูกหลังเลิกเรียน เช่น วันนี้ลูกเล่นกับใคร เล่นอะไรกันบ้าง เป็นต้น เพื่อตรวจเช็กดูว่าอยู่ที่โรงเรียนเขามีเพื่อนหรือไม่ หากพบว่าลูกมีเพื่อนน้อย หรือไม่มีเลย พ่อแม่ควรหาสาเหตุที่แน่ชัด เพื่อที่จะช่วยเหลือลูกได้ทันก่อนลูกโดนแกล้ง
- มีอาการกลัวการไปโรงเรียน กลัวการเดินไป-กลับโรงเรียน การขึ้นรถรับส่งนักเรียน หรือการเข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆ หรือไม่ อาการกลัวการไปโรงเรียน กับการไม่อยากไปโรงเรียน มีความแตกต่างกัน หากลูกงอแงตอนเช้าไม่อยากไปโรงเรียน แต่เมื่อให้เวลาสักพัก หรือแอบดูเขาขณะเข้าเรียนไปสักระยะ แล้วพบว่าลูกกลับมาทำตัวปกติ ร่าเริง เข้าร่วมกิจกรรม นั่นเป็นเพียงการไม่อยากไปโรงเรียน ไม่ใช่การกลัวไปโรงเรียน
- กลัวเพื่อนบางคนเป็นพิเศษ หรือไม่กล้าเดินผ่านสถานที่ หรือโต๊ะเรียนของเพื่อนกลุ่มนั้น หรือหากเป็นเด็กโตที่สามารถกลับบ้านด้วยตัวเอง ให้สังเกตว่าลูกไป-กลับโรงเรียนโดยใช้ทางอ้อม ซึ่งดูแล้วไม่มีเหตุผลสมควร เพราะนั่นแสดงถึงการหนีอะไรบางอย่าง หากลูกเกิดพฤติกรรมเช่นนี้ พ่อแม่ควรรีบหาสาเหตุ และเข้าไปจัดการ ชี้แนะลูกโดยเร็ว
- ไม่สนใจทำการบ้าน และผลการเรียนตกต่ำอย่างกะทันหัน ความใส่ใจในการเรียนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยคุณพ่อคุณแม่อย่าไปตีความว่าการที่ลูกผลการเรียนตก เป็นเพราะความขี้เกียจ ความไม่เอาไหนของลูกเท่านั้น แต่เราต้องมองลึกลงไปว่า สาเหตุแท้จริงอันใดที่ทำให้ลูกหมดความสนใจในการเรียน หากเป็นสาเหตุของการที่ลูกโดนแกล้ง พ่อแม่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือลูกก่อนสาย
- อารมณ์แปรปรวน ลูกจะมีท่าทางเศร้า หงุดหงิดง่าย น้ำตาคลอ หรือหดหู่ เก็บตัว หลังกลับมาจากโรงเรียนแสดงว่าลูกโดนแกล้งได้
- อาจจะแสดงว่าตนเองเจ็บป่วย เช่น บ่นว่าปวดหัว ปวดท้อง หรือมีความเจ็บป่วยด้านอื่นอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกโกหก แต่ความเครียดทางจิตใจ ไปแสดงผลออกมาทางร่างกาย ซึ่งลูกก็รู้สึกว่าตัวเองมีอาการเช่นนั้นจริง
- มีปัญหานอนไม่หลับ หรือฝันร้ายบ่อยๆ เป็นสัญญาณเตือนขั้นต้นในเด็กหลายๆ คน อาการนอนไม่หลับเนื่องจากเขามีความไม่สบายทางใจ และไม่สามารถหาทางออกได้ หรือหากหลับไปแล้วลูกมักละเมอ ฝันร้าย หรือตื่นมาไม่สดชื่น แบบคนนอนหลับไม่เพียงพอ
- ไม่เจริญอาหาร ไม่อยากรับประทานข้าว หรือแม้แต่ขนมที่เคยชอบมากๆ
- มีท่าทางกังวล หรือน้อยเนื้อต่ำใจ เป็นปกติของเด็กที่ถูกรังแกจะรู้สึกมองไม่เห็นคุณค่าของตนเอง เนื่องจากเพื่อนๆ มาบูลลี่ ลูกโดนแกล้งโดยถูกกล่าวให้เขารู้สึกว่าตนเองไม่มีอะไรดี เป็นคนขี้แพ้ หรือไม่ได้เรื่อง เมื่อพบเจอเป็นเวลานานก็จะไปบั่นทอนความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเองของลูกได้เช่นกัน
หากลูกโดนแกล้ง พ่อแม่จะทำอย่างไร
1. ในส่วนของตัวเด็ก พ่อแม่ควรให้ความสนใจดูแลลูกของท่านเป็นพิเศษ ให้กำลังใจ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ลูกโดนแกล้งที่เกิดขึ้น เพื่อหาสาเหตุ และหาวิธีการจัดการปัญหาให้ตรงจุดมากที่สุด โดยอาจพูดคุย ดูแลลูกในช่วงที่เกิดปัญหา ดังนี้
- ไม่พูดจาเหมือนดั่งว่าเป็นความผิดของลูก อย่าตำหนิหรือกล่าวโทษที่ลูกโดนแกล้ง อย่าสันนิษฐานว่าลูกของท่านอาจไปทำอะไรให้อีกฝ่ายหนึ่งก่อนที่เป็นการยั่วยุให้เขามารังแกเอา เช่น ลูกไปทำอะไรเขาก่อนหรือเปล่า เขาถึงได้รังแกลูก เป็นต้น
- ฟังรายละเอียดจากลูก ว่าการที่ลูกโดนแกล้งนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ซักถามหรือขอให้ลูกเล่าให้ฟัง โดยไม่ออกความคิดเห็นระหว่างนั้น เพียงแค่นั่งรับฟังและหาจุดที่เป็นส่วนสำคัญในเรื่องต่อไปนี้ ภายในใจว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง และการรังแกแต่ละครั้งนั้นรุนแรง หรือมีพฤติกรรมอะไรที่น่ากังวลบ้าง
- พ่อแม่ต้องมีท่าทีที่ทำให้ลูกมั่นใจว่าจะร่วมแก้ปัญหาไปด้วยกัน และแสดงความเห็นอกเห็นใจลูก บอกเขาว่าการรังแกเป็นสิ่งที่ผิด และพ่อแม่ดีใจที่ลูกกล้าเล่าให้ฟัง
- ถามความเห็นลูกเสมอก่อนที่จัดการทำอะไร ถามลูกว่าควรดำเนินการอย่างไรจึงจะช่วยได้ ให้คำมั่นว่าพ่อแม่จะทำอย่างระมัดระวัง ไม่หุนหันพลันแล่นจนไปทำให้เป็นปัญหาเพิ่มกับลูก และจะบอกเขาทุกครั้งก่อนที่จะทำอะไรต่อไป
- อย่าสนับสนุนการตอบโต้ทางกาย เพื่อเป็นทางออก แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน การชกต่อยนักเรียนคนอื่นมักจะไม่ทำให้ปัญหายุติลง และอาจทำให้ลูกของท่านถูกพักการเรียนหรือถูกไล่ออกได้ และตามปกติคนที่มารังแกลูกนั้น มักจะโตกว่าหรือแข็งแรงกว่า และลูกท่านสู้ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะไม่อย่างนั้นก็คงไม่ทำลูกโดนแกล้ง และการสนับสนุนให้ลูกใช้ความรุนแรง เท่ากับไปสร้างทัศนคติที่ไม่ถูกต้องกับเด็ก ว่าใครแข็งแรงกว่าก็สามารถเอาเปรียบ รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าได้
2. ในส่วนของโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรติดต่อครู ครูประจำชั้น หรือครูใหญ่ของโรงเรียนของลูก เพื่อให้โรงเรียนให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาการกลั่นแกล้งกัน การบูลลี่ในโรงเรียน เพราะหากโรงเรียนปล่อยปละละเลย ก็จะเป็นตัวอย่างให้เด็กคนอื่นๆ ทำตาม เลียนแบบกันต่อไปได้ โดยคุณพ่อคุณแม่ควรแสดงท่าทีดังต่อไปนี้
- พยายามควบคุมอารมณ์ แล้วให้เฉพาะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที่ลูกโดนแกล้ง ใคร อะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน และอย่างไร แต่ไม่ควรใส่คำตัดสิน กล่าวโทษเด็กคนนั้น
- ย้ำความตั้งใจ ว่าท่านต้องการร่วมมือกับบุคลากรของโรงเรียนหาทางออกเพื่อยุติการรังแกกัน ทั้งเพื่อลูกของท่าน และเด็กคนอื่นๆ ไม่ใช่การแก้แค้น
- อย่าติดต่อกับผู้ปกครองของนักเรียนผู้ลงมือรังแกลูกของท่านก่อน การกระทำเช่นนี้มักเป็นการโต้ตอบอันดับแรกของผู้ปกครอง แต่บางครั้งมันอาจทำให้เหตุการณ์รุนแรงกว่าเดิม ควรหาคนกลางมาช่วยบอกกล่าว ควรให้บุคลากรของโรงเรียนเป็นผู้ติดต่อไปทางผู้ปกครองของนักเรียนผู้ลงมือรังแก
- ติดตาม และคอยเช็กว่าการรังแกนั้นได้ยุติลงจริงๆ พูดคุยกับลูกและคุณครูอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามดูว่าการที่ลูกโดนแกล้งได้หยุดลงหรือไม่ หรือลูกยังเผชิญอยู่ แต่ไม่กล้าบอกหรือคนที่แกล้งไม่ได้พูดความจริง โดยเฉพาะหากเป็นการแกล้งหรือรังแกจากผู้ใหญ่รังแกเด็ก จะทำให้การหยุดลงของการบูลลี่ยากกว่าการแกล้งกันระหว่างเด็กด้วยกัน
3. ป้องกันปัญหาในระยะยาว โดยพ่อแม่สามารถช่วยลูกของท่านให้มีการปรับตัวรับมือกับการที่ลูกโดนแกล้งจากคนอื่นในคราวต่อๆ ไป ในระยะยาวได้ด้วยเช่นกัน
- เสริมความมั่นใจให้กับลูก ช่วยพัฒนาความสามารถพิเศษ หรือพรสวรรค์ที่เขามีอยู่ให้เต็มที่ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ลูกมีความมั่นใจมากขึ้น เมื่ออยู่ท่ามกลางหมู่เพื่อน เพราะคนที่มั่นใจในตนเอง จะมีบุคลิก ท่าทางที่ทำให้คนอื่นๆ ไม่อยากหรือไม่กล้ารังแก
- สอนให้ลูกรู้จักเลือกคบเพื่อน พ่อแม่ไม่สามารถไปชี้ได้ว่าลูกควรคบคนไหน ไม่ควรคบคนไหน แต่หากเราสอนให้ลูกรู้จักการเข้าสังคม รู้จักบอกความรู้สึกตนเอง รู้จักรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ลูกก็จะสามารถปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ไม่อยาก และไม่ต้องเป็นฝ่ายยอม หรือตามใจเพื่อนเสมอไป และหากเพื่อนคนไหนที่เขารู้สึกเข้ากันไม่ค่อยได้กับตัวเอง ลูกก็จะรู้ได้ด้วยตนเองและสามารถเลือกเพื่อนที่ถูกใจได้
- สอนวิธีการสร้างความปลอดภัยให้ลูก สอนให้เขารู้วิธีขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่เมื่อเขารู้สึกว่าถูกคุกคาม พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับบุคคลที่เขาสามารถขอความช่วยเหลือได้ และซ้อมบทสนทนาว่าควรพูดอย่างไร ทำให้ลูกเห็นความแตกต่างระหว่าง “ขี้ฟ้อง” กับ “การแจ้งเหตุคุกคาม” ว่าเป็นอย่างไร
- ทำบ้านให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) หัวใจสำคัญคือบ้าน โปรดทำให้แน่ใจว่าลูกของท่านได้รับบรรยากาศในบ้านที่เปี่ยมด้วยความรัก และความปลอดภัย ซึ่งสามารถเป็นที่หลบภัยของเขาได้ทั้งทางกาย และใจ สื่อสาร พูดคุยแลกเปลี่ยนชีวิตประจำวันกันอย่างสม่ำเสมอ
การกลั่นแกล้งที่เกิดในโรงเรียน
ทำอย่างไรเมื่อลูกโดนแกล้งที่โรงเรียน
- สอบถามลูกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อลูกโดนแกล้งให้ถามว่าเหตุการณ์เป็นไปอย่างไร ลูกกำลังทำอะไรอยู่ ใครเป็นคนเริ่มต้นก่อน แล้วลูกตอบโต้อย่างไร เพื่อนที่มารังแกพูดจาหรือตอบโต้กลับอย่างไร ฯลฯ เพราะบางครั้งสิ่งที่ลูกมาฟ้องว่าลูกโดนแกล้งนั้นอาจไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมดก็ได้ ลูกอาจเป็นคนเริ่มก่อน รังแกเพื่อนก่อนก็ได้ พ่อแม่จึงควรฟังหูไว้หู สอบถามเหตุการณ์อย่างรอบคอบเสียก่อนแล้วจึงค่อยชี้แนะลูกถึงวิธีการรับมือ โดยอาจไปสอบถามคุณครูหรือเพื่อน ๆ ของลูกที่เห็นเหตุการณ์ว่าเป็นอย่างไรเพื่อสามารถช่วยเหลือแนะนำลูกได้อย่างตรงจุดจริงๆ
อย่างไรก็ตามพ่อแม่ต้องคอยสังเกตถึงความผิดปกติของลูกด้วย เช่น มีรอยฟกช้ำ เลือดออก ตามร่างกายหรือไม่ ของหายเป็นประจำหรือไม่ ลูกผอมลงและบ่นหิวเสมอ ทั้งๆ ที่ได้เงินค่าขนมไปโรงเรียนอย่างเพียงพอ ฯลฯ เพราะในบางกรณีเด็กบางคนเมื่อถูกเพื่อนแกล้งไม่กล้าบอกพ่อแม่เพราะอาจถูกเพื่อนขู่หรือกลัวว่าพ่อแม่จะหาว่าตนอ่อนแอยอมให้เพื่อนแกล้งแล้วมาทำโทษตนต่ออีกซ้ำสอง
- สอนลูกถึงวิธีการตอบสนองที่ถูกต้อง
ลูกมักเลียนแบบอย่างการตอบสนองของพ่อแม่ พ่อแม่ทำอย่างไรชี้แนะลูกอย่างไรลูกมักเชื่อฟังและยึดเอาคำสอนของพ่อแม่เป็นหลักในการตอบสนองต่อปัญหาต่างๆ พ่อแม่จึงควรตระหนักว่าสิ่งที่ท่านสอนนั้นมีผลต่อชีวิตของลูกในระยะยาวแน่นอน ดังนั้นก่อนจะแนะนำสั่งสอนจึงควรตั้งสติ คิดไตร่ตรองให้ดีด้วยความระมัดระวัง
ในขั้นแรกพ่อแม่ควรสอนให้ลูกคิดแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน ไม่ควรช่วยเหลือหรือเสนอแนวทางทันทีแต่ฝึกให้ลูกรู้จักคิดเพื่อรับมือกับปัญหาอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน เพราะเราไม่ได้อยู่กับลูกและคอยช่วยเหลือลูกได้ตลอดเวลา หลังจากฟังแนวทางการแก้ปัญหาของลูกแล้วจึงค่อยชี้แจงถึงผลดีผลเสียของการตอบสนองแบบต่างๆ พร้อมเสนอแนะว่าการตอบสนองที่ชาญฉลาดโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงนั้นเป็นอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างในภาคปฏิบัติจริงให้ลูกได้นำไปใช้ เช่น เดินหนี ไม่สนใจ บอกตรงๆ ว่าไม่ชอบ หากทำอีกจะฟ้องครู ฯลฯ โดยติดตามผลลูกเป็นระยะว่าลูกสามารถจัดการปัญหาได้อย่างประสบผลสำเร็จหรือไม่ หากเพื่อนที่ชอบแกล้งยังคงตามรังควานไม่เลิกรา หรือครูที่โรงเรียนไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ พ่อแม่อาจต้องไปพบคุณครูของลูกที่โรงเรียนเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ไปทำความรู้จักกับเพื่อนของลูกคนนั้นพูดคุยสังเกตพฤติกรรม พร้อมร่วมมือกับครูในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ในกรณีที่พ่อแม่พบว่าลูกถูกแย่งของเล่นต่อหน้าต่อตา พ่อแม่สามารถเข้าไปสอนในเรื่องสิทธิและการแบ่งปัน ว่าของนี้เพื่อนกำลังเล่นอยู่ ไปแย่งจากมือไม่ได้ให้ไปเล่นของเล่นชิ้นอื่นก่อน ให้คืนเพื่อนไป และเมื่อลูกเล่นเสร็จแล้วควรแบ่งปันให้เพื่อนเล่นบ้าง รวมทั้งสอนทั้งคู่ไม่ให้แก้ปัญหาด้วยความรุนแรง
ทำอย่างไรเมื่อลูกไปแกล้งเพื่อนที่โรงเรียน
ในทางกลับกันหากลูกของเรามีพฤติกรรมชอบไปแกล้งเพื่อนที่โรงเรียน พ่อแม่ไม่ควรนิ่งนอนใจโดยคิดอย่างภาคภูมิใจว่าดีแล้วที่ลูกของเราจะได้ไม่ถูกแกล้ง ถูกเอาเปรียบ ลูกของเราเอาตัวรอดได้ โดยหารู้ไม่ว่าความคิดดังกล่าวแท้จริงแล้วเป็นการทำร้ายและทำลายอนาคตของลูกให้ย่อยยับไปกับมือของพ่อแม่เอง พ่อแม่จึงควรเฝ้าสังเกตว่าลูกของเรามีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงหรือไม่ ชอบหยิบของของเพื่อนมาเป็นของตัวเองหรือไม่ ครูที่โรงเรียนฟ้องมาบ่อยๆ หรือไม่ ฯลฯ โดยอาจย้อนมาพิจารณาถึงการเลี้ยงดูของเราว่าเป็นแบบอย่างในการใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหาหรือไม่ เราไม่ได้ควบคุมลูกในการรับสื่อที่รุนแรงต่าง ๆ หน้าจอทีวี เกมคอมพิวเตอร์ หรือไม่ ลูกมีปัญหาทางพฤติกรรมที่ต้องปรึกษาจิตแพทย์หรือไม่ ฯลฯ เพื่อสามารถช่วยเหลือลูกได้อย่างทันท่วงที ไม่กลายเป็นอันธพาล เกเร นักเลงหัวไม้ หรืออาชญากรในสังคมต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้พ่อแม่ควรเข้าใจว่าเด็กๆ นั้นยังไม่รู้ว่าจะไปสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนอย่างไร จะไปขอเพื่อนๆ เล่นด้วยควรทำอย่างไร หรือการยับยั้งพลังของตัวเองในระดับที่ไม่ไปทำร้ายคนอื่น หรือทำให้เพื่อนๆ เจ็บนั้นควรอยู่ในระดับใด พ่อแม่จึงควรสอนลูกในเรื่องทักษะสังคมควบคู่ไปด้วยและอาจพาลูกไปออกกำลังกายว่ายน้ำ วิ่ง ฯลฯ เพื่อให้ได้ใช้พลังที่มีอยู่ในตัวอย่างเหลือเฟือออกไปอันเป็นการลดความตึงเครียดของเด็กได้ดีในระดับหนึ่งแทนที่จะไประบายกับเพื่อนที่โรงเรียน
ในเมื่อลูกใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนมากกว่าอยู่ที่บ้าน คุณครูจึงเป็นผู้ที่ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยเต็มๆ อย่างไม่สามารถปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงได้ อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจพบว่าครูส่วนใหญ่เคยเห็นพฤติกรรมรังแกเพื่อน แต่เมื่อถามว่าได้พยายามห้ามหรือหยุดการกระทำเช่นนั้นหรือไม่คุณครูที่ถูกสัมภาษณ์กว่าครึ่งตอบว่าช่วยเหลือ “ค่อนข้างน้อย” หรือ “แทบจะไม่เคยทำอะไร” เพื่อหยุดการรังแก
ดังนั้นพ่อแม่จึงควรรวมตัวเป็นเครือข่ายผู้ปกครอง ในการผลักดันโรงเรียนให้เห็นความสำคัญในปัญหาดังกล่าว พร้อมมีนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนในการลดปัญหาการใช้ความรุนแรงของเด็กนักเรียน การแกล้งกันหรือรังแกกัน ซึ่งส่งผลรุนแรงในระยะยาวกลายเป็นปัญหาสังคมได้ในที่สุด
หากการที่ลูกโดนแกล้งที่โรงเรียน ไม่ได้รับการแก้ไขจะส่งผลเสียอย่างไร
เด็กที่ถูกรังแกอาจมีลักษณะดังต่อไปนี้มากกว่าเด็กคนอื่น ยิ่งโดยเฉพาะหากพ่อแม่ไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติได้ทัน อาจทำให้ลูกยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยว และก่อให้เกิดเหตุรุนแรง
- หดหู่ เหงา กังวลใจ
- น้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
- ขาดเรียน ผลการเรียนตกต่ำ
- รู้สึกไม่สบายทางร่างกาย
- มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย
ลูกโดนแกล้ง อาจก่อให้เกิดผลภายหลังที่ร้ายแรง เมื่อถึงเวลาที่ลูกของเราต้องออกจากอ้อมอกของพ่อแม่ไปเผชิญโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ด้วยตนเอง พ่อแม่ทุกคนย่อมรู้สึกห่วงใยไม่อยากให้ลูกต้องได้รับความทุกข์ยากหรือความเจ็บปวดในชีวิต การยื่นมือเข้าปกป้องช่วยเหลือในยามที่ลูกยากลำบาก ลูกโดนแกล้ง ถูกรังแก เป็นสิ่งที่พ่อแม่พร้อมยืนเคียงข้างลูก อย่างไรก็ตามพ่อแม่ควรตระหนักอยู่เสมอว่าสองมือที่เราคิดไปเองว่าเป็นมือแห่งการปกป้องช่วยเหลือนั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นมือที่ไปทำร้ายและทำลายทั้งชีวิตลูกของเราก็เป็นได้
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเด็ก
ที่มาของบทความ
- https://www.amarinbabyandkids.com
- https://www.babybbb.com
- https://www.pexels.com/7929411
- https://www.pexels.com/7929419